วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ปาล์มน้ำมัน

                              พฤกษศาสตร์ทั่วไป
                                      วงศ์ (Family): Palmae หรือ Recaceae
                                      จีนัส (Genus): Elaeis
                                      สปีชีส์ (Species): guineensis
                                      ชื่อสามัญ (Common name): oilpalm
                                      ชื่อวิทยาศาสตร์ (Scientific name): Elaeis guineensis Jacq. 
ความเป็นมา

  • มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา
  • ปี พ.ศ. 2391 นำพันธุ์ดูร่าเข้ามาปลูกในสวนพฤกษศาสตร์โบกอร์  อินโดนีเซีย
  • ปี พ.ศ. 2485 พระยาประดิพัทธภูบาล  นำเข้ามาปลูกเป็นไม้ประดับที่ สถานีทดลองยางคอหงษ์จ.สงขลา    สถานีกสิกรรมพลิ้ว  จ.จันทบุรี
  • หม่อมเจ้าอมรสสมานลักษณ์  กิติยากร  ได้ทรงปลูกปาล์มน้ำมัน  เพื่อเป็นการค้าที่ จ.สงขลา
  • โครงการปลูกปาล์มน้ำมันเพื่อการค้าอย่างจริงจัง  เมื่อปี พ.ศ. 2511
  •   โครงการนิคมสร้างตนเองพัฒนาภาคใต้ จ.สตูล
  •   โครงการบริษัทอุตสาหกรรมน้ำมันและสวนปาล์ม จำกัด  จ.กระบี่
 
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ราก
  •   - เป็นระบบรากฝอย  (fibrous root  system)
  •   - มีการกระจายอยู่บริเวณผิวดิน ลึกประมาณ 20-60  เซนติเมตร

  • มีความหนาแน่นมาก บริเวณโคนต้น ในรัศมี 1.5 – 2 เมตร
  • หน้าที่ดูดน้ำและแร่ธาตุ ยึดลำต้นไม่ให้ล้ม
 
ลำต้น
  เมื่อโตเต็มที่จะมีส้นผ่าศูนย์กลาง 45-60 เซนติเมตร
  - โดยทั่วไปปาล์มน้ำมันมีความสูงประมาณ 15-18 เมตร   จะเพิ่มความสูงประมาณ 25-50 เซนติเมตรต่อปี 

 


 - ลำต้นจะมีกาบใบหุ้มอยู่เป็นลักษณะเกลียวเวียนรอบ ลำต้นทั้งซ้ายและขวาขึ้นอยู่กับลักษณะทางพันธุกรรม
  - แต่ละรอบจะมีทางใบประมาณ 8 แถว










 
พันธุ์ปาล์มน้ำมัน
     พันธุ์ปาล์มน้ำมันที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจในปัจจุบันแบ่งได้เป็น 3 ชนิด ซึ่งสามารถแยกความแตกต่างของพันธุ์เหล่านี้ โดยพิจารณาความหนากะลาของผลปาล์มเป็นสำคัญ

            1. พันธุ์ดูรา (Dura) เป็นพันธุ์ที่มีกะลาหนาประมาณ 2-8 มิลลิเมตร มีชั้นเปลือกนอกที่ให้น้ำมัน (mesocarp) ประมาณ 35-60% ของน้ำหนักผลปาล์ม พันธุ์ดูราที่มีกะลาหนามาก ๆ เรียกว่ามาโครคายา (macrocarya) คือกะลาหนาประมาณ 6-8 มิลลิเมตร พันธุ์ดูรานี้พบมากแถบตะวันออกไกล เช่น พันธุ์เดลีดูรา (Deli dura) ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตค่อนข้างสูง ปัจจุบันพันธุ์ดูรา มักใช้เป็นต้นแม่สำหรับปรับปรุงพันธุ์เพื่อผลิตลูกผสมเป็นการค้า

        2. พันธุ์ฟิสิเฟอรา (Pisifera) เป็นพันธุ์ที่มีกะลาบางมาก หรือบางครั้งไม่มีกะลา เมล็ดในเล็ก ขนาดผลเล็ก ช่อดอกตัวเมียมักเป็นหมัน ผลผลิตทะลายต่อต้นต่ำ ไม่เหมาะที่จะปลูกเป็นการค้า นิยมใช้พันธุ์ฟิสิเฟอราเป็นต้นพ่อสำหรับผลิตพันธุ์ลูกผสม
     3. พันธุ์เทเนอรา (Tenera) เป็นลูกผสมระหว่างพันธุ์แม่ดูราและพันธุ์พ่อฟิสิเฟอรา เป็นพันธุ์ที่มีกะลาบางประมาณ 0.5-4 มิลลิเมตร มีปริมาณของ mesocarp 60-90% ของน้ำหนักผลผลผลิตทะลายสูง จึงนิยมปลูกเป็นการค้าในปัจจุบัน





 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น